พระเยซูเข้าสู่เยรูซาเร็ม

ลูกา 19:28-21:38

img

1928หลังจากที่พระเยซูกล่าวจบแล้ว ก็เดินนำหน้าพวกเขาไปเพื่อขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็ม 29ขณะที่พระองค์เข้ามาใกล้หมู่บ้านเบธฟายีและเบธานีที่อยู่ในบริเวณภูเขามะกอก พระองค์ส่งสาวก 2 คนไปโดยกล่าวว่า

พระเยซู

30จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเข้าไปแล้วเจ้าจะได้พบลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่ที่นั่น เป็นลาที่ยังไม่เคยมีผู้ใดขึ้นขี่เลย จงแก้เชือกมันแล้วจูงมาที่นี่ 31ถ้ามีผู้ใดถามว่า ‘ทำไมท่านจึงแก้เชือกมัน’ จงบอกเขาว่า ‘พระองค์ท่านจำเป็นต้องใช้มัน’

32เมื่อสาวกไปก็ได้พบตามสิ่งที่พระองค์ได้กล่าวไว้ 33ขณะที่พวกเขากำลังแก้เชือกลูกลาอยู่ เจ้าของก็ถามพวกเขาว่า

เจ้าของลูกลา

ทำไมท่านจึงแก้เชือกลูกลา

34เหล่าสาวกตอบว่า

บรรดาสาวกของพระเยซู

พระองค์ท่านจำเป็นต้องใช้มัน

35แล้วได้นำตัวมันมาให้พระเยซู พวกเขาปูเสื้อตัวนอกของเขาเองบนลูกลา แล้วจึงยกพระองค์ขึ้นลา 36ขณะที่พระองค์ขึ้นลาไป ผู้คนต่างก็ปูเสื้อตัวนอกของพวกเขาลงบนถนน 37เมื่อพระองค์เข้ามาใกล้ถนนที่เป็นทางลงจากภูเขามะกอก สาวกกลุ่มใหญ่ก็เริ่มสรรเสริญพระเจ้าอย่างรื่นเริงด้วยเสียงอันดัง เพราะเขาเหล่านั้นได้เห็นสิ่งอัศจรรย์ทั้งปวงแล้ว

ฝูงชน

38ขอให้กษัตริย์ผู้มาในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าจงเป็นสุขเถิด*

ฝูงชน

สันติสุขจงบังเกิดในสวรรค์และพระบารมีในที่สูงสุด

39ฟาริสีบางคนในกลุ่มพูดกับพระเยซูว่า

พวกฟาริสี

อาจารย์ จงห้ามพวกสาวกของท่านเถิด

40พระองค์ตอบว่า

พระเยซู

เราขอบอกท่านว่า ถ้าเขานิ่งเงียบแล้วพวกหินก็จะส่งเสียงร้องเอง

41ขณะที่พระองค์เข้าไปใกล้จนเห็นตัวเมือง พระองค์ร้องไห้ด้วยความสงสารต่อเมืองนั้น 42และกล่าวว่า

พระเยซู

โธ่..แม้แต่ตัวเจ้าเอง หากว่าในวันนี้เจ้ารู้ว่า อะไรจะนำสันติสุขมาสู่เจ้า แต่ขณะนี้สิ่งเหล่านั้นกลับถูกซ่อนไว้จากสายตาของเจ้า 43วันนั้นจะมาถึงเมื่อพวกศัตรูของเจ้าก่อรั้วกั้น ตีโอบ และล้อมเจ้าไว้ทุกด้าน 44พวกเขาจะทำลายเจ้าและแม้แต่ลูกๆ โดยสิ้นเชิงภายในเขตกำแพงของเจ้า และเขาจะไม่ปล่อยให้หินตั้งซ้อนกันอยู่ เพราะเจ้าไม่รู้ว่าเป็นเวลาที่พระเจ้ามาเยี่ยมพวกเจ้า

45พระเยซูเข้าไปในบริเวณพระวิหารและเริ่มขับไล่พวกพ่อค้าพาณิชย์ 46พระองค์กล่าวกับเขาทั้งหลายว่า

พระเยซู

มีบันทึกไว้ว่า ‘ตำหนักของเราจะเป็นตำหนักอธิษฐาน’* แต่พวกท่านได้ทำให้กลายเป็น‘ถ้ำโจร’*

47ทุกๆ วันพระองค์จะสอนที่พระวิหาร ขณะที่บรรดามหาปุโรหิต อาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและผู้นำมวลชนได้พยายามที่จะฆ่าพระองค์เสีย 48แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถหาทางได้ เพราะว่าผู้คนทั้งปวงล้วนตั้งใจฟังคำพูดของพระองค์
201วันหนึ่ง ขณะที่พระองค์กำลังสอนผู้คนอยู่ในบริเวณพระวิหาร และประกาศข่าวประเสริฐอยู่ บรรดามหาปุโรหิต อาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติ พร้อมกับพวกผู้ใหญ่ได้มาพบพระองค์ 2คนเหล่านั้นพูดว่า

กลุ่มผู้นำชาวยิว

ช่วยบอกพวกเราเถิดว่าท่านกระทำสิ่งเหล่านี้ด้วยสิทธิอำนาจอันใด และใครให้สิทธิอำนาจนี้แก่ท่าน

3พระเยซูตอบว่า

พระเยซู

เรามีสิ่งหนึ่งที่จะถามท่านเช่นกัน จงตอบเราเถิดว่า 4บัพติศมาของยอห์นมาจากสวรรค์หรือมาจากมนุษย์

5เขาทั้งหลายปรึกษากันพลางพูดกันเองว่า

กลุ่มผู้นำชาวยิว

ถ้าพวกเราพูดว่า ‘มาจากสวรรค์’ ท่านจะถามว่า ‘ทำไมท่านจึงไม่เชื่อเขา’ 6แต่ถ้าเราพูดว่า ‘มาจากมนุษย์’ ผู้คนก็จะเอาหินขว้างเรา เพราะว่าพวกเขาเชื่อว่า ยอห์นเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า

7ดังนั้นเขาจึงตอบว่า

กลุ่มผู้นำชาวยิว

พวกเราไม่ทราบว่ามาจากไหน

8พระเยซูกล่าวกับเขาว่า

พระเยซู

เราก็จะไม่บอกท่านเช่นกันว่า เรากระทำสิ่งเหล่านี้ด้วยสิทธิอำนาจอันใด

9พระองค์กล่าวเป็นอุปมาให้ผู้คนฟังว่า

พระเยซู

ชายคนหนึ่งปลูกสวนองุ่นไว้ เขาให้ชาวสวนอื่นๆ เช่า แล้วก็เดินทางไปต่างประเทศเป็นเวลานาน 10เมื่อถึงเวลาเก็บผล เขาก็ส่งคนรับใช้คนหนึ่งไปหาคนเช่าสวน เพื่อให้เขาแบ่งส่วนปันผลจากสวนบ้าง แต่พวกคนที่เช่าสวนกลับทุบตีแล้วก็ไล่เขากลับไปมือเปล่า 11ชายเจ้าของสวนจึงส่งคนรับใช้อีกคนไป แต่พวกคนเช่าสวนก็ทุบตีเขา ลบหลู่และส่งเขากลับไปมือเปล่าเช่นกัน 12เขาก็ยังส่งคนที่สามไปซึ่งก็ได้รับบาดเจ็บ และถูกไล่กลับไปเช่นกัน 13เจ้าของสวนองุ่นพูดว่า ‘เราจะทำอย่างไรดี เราจะส่งลูกชายที่รักของเราไป พวกเขาคงจะเคารพนับถือลูกคนนั้น’ 14แต่เมื่อพวกคนเช่าสวนเห็นเขาก็พูดกันว่า ‘คนนี้เป็นทายาท ช่วยกันฆ่าเขาเถิดเพื่อว่ามรดกจะได้ตกเป็นของเรา’ 15และเขาทั้งหลายก็โยนลูกคนนั้นออกจากสวนองุ่นและฆ่าเสีย แล้วเจ้าของสวนองุ่นจะทำอย่างไรกับพวกเขาเล่า 16เขาจะมาฆ่าพวกคนเช่าสวนเหล่านั้น และยกสวนองุ่นให้แก่คนอื่นๆ ไป

เมื่อผู้คนได้ยินเรื่องนี้แล้วจึงพูดว่า

ฝูงชน

ขออย่าได้เป็นไปเช่นนั้นเลย

17พระเยซูมองจ้องพวกเขาและถามว่า

พระเยซู

แล้วสิ่งที่บันทึกไว้มีความหมายว่าอย่างไร
‘ศิลาที่พวกช่างก่อสร้างทิ้ง
ได้กลายเป็นศิลามุมเอก’*
18ใครที่ล้มลงบนศิลานี้จะแตกหักกระจายเป็นชิ้นๆ หากแต่เมื่อศิลานั้นล้มทับผู้ใดแล้ว ผู้นั้นจะแหลกเป็นผุยผง

19พวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและมหาปุโรหิตทราบว่า พระองค์กล่าวเป็นอุปมานี้เพื่อกระทบพวกเขา คนเหล่านั้นใคร่จะจับกุมพระองค์เสียทันที แต่ก็ยังเกรงผู้คนที่อยู่รายรอบพระองค์
20เขาจึงได้ส่งพวกสอดแนมโดยทำทีเป็นคนซื่อมาคอยเฝ้าพระเยซูอย่างใกล้ชิด โดยหวังว่าจะจับผิดคำกล่าวของพระองค์ เพื่อส่งให้กับผู้ว่าราชการผู้มีอิทธิพลและสิทธิอำนาจ 21พวกสอดแนมจึงได้ซักถามพระองค์ว่า

พวกฟาริสี&พรรคของเฮโรด

อาจารย์ พวกเราทราบว่า ท่านพูดและสั่งสอนในสิ่งที่ถูกต้อง ท่านไม่แสดงความลำเอียงเลย แต่สั่งสอนในวิถีทางของพระเจ้าตามความจริง 22ถูกต้องตามกฎหรือไม่ ที่เราเสียภาษีให้แก่ซีซาร์

23พระองค์หยั่งรู้ถึงเล่ห์เหลี่ยมของเขาจึงตอบว่า

พระเยซู

24ให้เราดูเหรียญเดนาริอันเถิด รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร

25เขาทั้งหลายตอบพระองค์ว่า

พวกฟาริสี&พรรคของเฮโรด

ของซีซาร์

พระองค์จึงกล่าวว่า

พระเยซู

ถ้าอย่างนั้นแล้ว สิ่งที่เป็นของซีซาร์ก็จงให้แก่ซีซาร์ และสิ่งที่เป็นของพระเจ้าก็จงให้แก่พระเจ้า

26เขาทั้งหลายไม่สามารถระบุข้อผิดพลาดของพระองค์ต่อหน้าประชาชนได้ และก็ประทับใจในคำตอบของพระองค์ด้วยจึงนิ่งไป
27พวกสะดูสีบางคน*(ซึ่งพูดว่าไม่มีการฟื้นคืนชีวิตจากความตาย)ได้มาหาพระเยซูและถามว่า

พวกสะดูสี

28อาจารย์ ตามที่โมเสสได้เขียนไว้ให้พวกเราว่า ถ้าชายคนหนึ่งมีพี่ชายซึ่งตายไป และทิ้งภรรยาไว้โดยไม่มีบุตรด้วยเลย น้องชายของคนตายควรรับหญิงม่ายไว้ เพื่อมีบุตรสืบตระกูลให้พี่ชายของเขา 29ครั้งหนึ่งมีพี่น้องที่เป็นชายอยู่ 7 คน คนแรกมีภรรยา และตายโดยไม่มีบุตรด้วย 30คนที่สอง 31และคนที่สามสมรสกับนาง จนถึงคนที่เจ็ดก็ตายเช่นกันโดยไม่มีบุตรด้วย 32ในที่สุดหญิงคนนั้นก็ตายด้วย 33เมื่อถึงวันที่ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย แล้วหญิงคนนั้นจะเป็นภรรยาของใคร ในเมื่อทั้ง 7 คนได้นางเป็นภรรยา

34พระเยซูตอบว่า

พระเยซู

ผู้คนในยุคนี้สมรสและยกให้เป็นสามีภรรยากัน 35แต่สำหรับพวกที่นับว่าสมควรจะได้ร่วมในยุคที่จะมาถึงและในวันที่ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย จะไม่มีการสมรสหรือการยกให้เป็นสามีภรรยากัน 36และเขาจะตายอีกไม่ได้ เพราะว่าเขาจะเป็นเหมือนพวกทูตสวรรค์ ในเมื่อเขาเป็นบรรดาบุตรที่ได้รับการฟื้นคืนชีวิตจากความตาย เขาจึงเป็นบุตรของพระเจ้า 37โมเสสแสดงให้เห็นว่าผู้ที่ตายไปแล้วยังจะฟื้นคืนชีวิตจากความตาย ในตอนที่เกี่ยวกับพุ่มไม้ที่ลุกเป็นไฟนั้น โมเสสพูดถึงพระผู้เป็นเจ้าว่า พระองค์เป็น ‘พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ’* 38พระองค์ไม่ใช่พระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น เพราะว่าสำหรับพระเจ้าแล้วทุกคนเป็นอยู่

39พวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติบางคนตอบว่า

อาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติบางคน

กล่าวได้ดี อาจารย์

40แล้วไม่มีผู้ใดกล้าซักถามสิ่งใดกับพระองค์อีก
41แล้วพระเยซูกล่าวกับเขาว่า

พระเยซู

เขาเหล่านั้นพูดได้อย่างไรว่า พระคริสต์เป็นบุตรของดาวิด 42ดาวิดกล่าวในพระคัมภีร์ฉบับสดุดีว่า
‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับพระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า
“จงนั่งทางด้านขวาของเรา
43จนกว่าเราจะทำให้พวกศัตรูของเจ้า
อยู่ใต้เท้าดั่งที่วางเท้าของเจ้า”’*
44ดาวิดเรียกพระองค์ว่า ‘พระผู้เป็นเจ้า’ แล้วพระองค์จะเป็นบุตรของดาวิดได้อย่างไร

45ขณะที่ทุกๆ คนกำลังฟังอยู่ พระเยซูกล่าวกับสาวกว่า

พระเยซู

46จงระวังพวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติที่ชอบสวมเสื้อคลุมเดินไปมาให้คนทักทายแสดงความเคารพในย่านตลาด และชอบที่นั่งสำหรับคนสำคัญสุดในศาลาที่ประชุม และที่นั่งอันมีเกียรติในงานเลี้ยง 47พวกเขาริบบ้านเรือนของพวกหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาวเพื่อให้คนเห็น คนพวกนี้จะถูกลงโทษอย่างหนัก

211ขณะที่พระองค์เงยหน้าขึ้นก็เห็นพวกคนมั่งมีกำลังถวายเงินในตู้ถวาย 2พระองค์เห็นหญิงม่ายผู้ยากไร้คนหนึ่งถวายเหรียญทองแดง 2 เหรียญด้วย 3พระองค์กล่าวว่า

พระเยซู

เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า หญิงม่ายผู้ยากไร้คนนี้ถวายเงินมากกว่าคนทั้งปวงเสียอีก 4เพราะเขาทุกคนได้ให้จากเงินเหลือใช้ของเขา แต่ถึงแม้ว่านางจะขัดสน นางก็ยังถวายทุกสตางค์ที่เก็บไว้สำหรับเลี้ยงตนเอง

5ขณะที่สาวกบางคนกำลังกล่าวชื่นชมพระวิหารที่ตกแต่งด้วยหิน และวัตถุที่คนถวายแด่พระเจ้าอย่างสวยงาม พระเยซูก็กล่าวว่า

พระเยซู

6สิ่งที่เจ้าเห็นกันอยู่นี้ สักวันหนึ่งจะถึงเวลาที่ไม่มีหินก้อนใดที่วางทับซ้อนกันอยู่ที่นี่จะรอดจากการทำลายไปได้*

7เขาทั้งหลายถามว่า

สาวกสี่คน

อาจารย์ เมื่อไหร่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น และปรากฏการณ์สำคัญอันใดที่จะบ่งบอกให้รู้ว่า สิ่งเหล่านี้ใกล้จะเกิดขึ้น

8พระองค์ตอบว่า

พระเยซู

จงระวัง อย่าให้ผู้ใดชักจูงเจ้าไปในทางที่ผิด เพราะว่าจะมีคนจำนวนมากมากล่าวอ้างนามของเราโดยว่า ‘เราเป็นผู้นั้น’ และ ‘ใกล้เวลานั้นแล้ว’ ก็อย่าตามพวกเขาไป 9เมื่อเจ้าได้ยินถึงการสงครามต่างๆ และการปฏิวัติ ก็อย่าตกใจกลัว สิ่งเหล่านี้ต้องเกิดขึ้นก่อนแต่ก็ยังไม่ถึงการสิ้นสุดทันที

10แล้วพระองค์กล่าวกับคนเหล่านั้นว่า

พระเยซู

ประเทศชาติต่างๆ จะต่อสู้กัน และอาณาจักรต่างๆ จะต่อสู้กัน 11จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่มากมาย มีความอดอยาก โรคระบาดในที่ต่างๆ เหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว และปรากฏการณ์อัศจรรย์ยิ่งใหญ่ต่างๆ จากสวรรค์ 12แต่ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ พวกเขาจะจับกุมและข่มเหงเจ้า มอบตัวเจ้าไปยังศาลาที่ประชุมและที่คุมขัง เจ้าจะถูกนำไปยืนต่อหน้าบรรดากษัตริย์และผู้ว่าราชการ เหตุเพราะชื่อของเรา 13ผลที่เกิดขึ้นคือ เจ้าจะเป็นพยานแก่พวกเขา 14แต่จงตัดสินใจที่จะไม่กังวลล่วงหน้าว่าจะแก้คดีอย่างไร 15เพราะว่าเราจะมอบคำพูดและปัญญาซึ่งไม่มีศัตรูคนใดต่อต้านหรือโต้แย้งได้ 16แม้แต่พ่อแม่ ญาติพี่น้อง และสหายจะส่งตัวเจ้าไป พวกเขาจะทำให้พวกเจ้าบางคนถึงแก่ชีวิตได้ 17คนทั้งปวงจะเกลียดชังเจ้าเหตุเพราะชื่อของเรา 18แต่ว่าจะไม่มีใครแตะต้องผมของเจ้าได้แม้เพียงเส้นเดียว 19จงยืนหยัดและเจ้าจะได้ชีวิต
20เมื่อเจ้าเห็นว่าเมืองเยรูซาเล็มถูกล้อมด้วยกองทหาร จงรู้ว่าความหายนะใกล้เข้ามาแล้ว 21เวลานั้นจงปล่อยให้ผู้คนในแคว้นยูเดียหนีไปยังแถบภูเขา ปล่อยพวกที่อยู่ในตัวเมืองให้ออกไป และอย่าให้พวกที่อยู่ในชนบทเข้าไปในตัวเมือง 22เพราะว่านี่เป็นเวลาลงโทษ เพื่อจะได้ให้สิ่งทั้งปวงบรรลุผลตามที่มีบันทึกไว้ 23วิบัติจะเกิดแก่หญิงมีครรภ์และมารดาผู้ให้นมลูกในวันนั้น ความทุกข์ใหญ่หลวงจะบังเกิดบนแผ่นดิน และการลงโทษจะมีต่อคนเหล่านั้น 24เขาจะตายด้วยคมดาบ บ้างจะถูกจับไปเป็นเชลยต่อประเทศชาติทั้งปวง เมืองเยรูซาเล็มจะถูกเหยียบย่ำโดยบรรดาคนนอก จนกว่าวาระของพวกคนนอกจะเสร็จสิ้น
25จะมีปรากฏการณ์อัศจรรย์ที่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว ชาติต่างๆ บนโลกจะได้รับความทุกข์ร้อน และงงงวยกับเสียงก้องคำรามทะเลและคลื่น 26ผู้คนจะตกใจจนเป็นลมขณะที่รอดูว่า อะไรจะเกิดขึ้นบนโลก เพราะบรรดาสิ่งที่ทรงพลังในท้องฟ้าจะสั่นสะเทือน 27ขณะนั้นผู้คนจะเห็นบุตรมนุษย์มาในเมฆด้วยฤทธานุภาพและสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ 28เมื่อสิ่งเหล่านี้เริ่มจะเกิดขึ้นจงยืนยกศีรษะขึ้น เพราะว่าการไถ่ของเจ้ากำลังใกล้เข้ามาแล้ว

29พระองค์กล่าวเป็นอุปมาต่อไปอีกว่า

พระเยซู

จงดูต้นมะเดื่อและต้นไม้อื่นๆ ทั่วไปเถิด 30เวลาที่ผลิใบออกแล้ว เจ้าจะเห็นด้วยตัวของเจ้าเองและรู้ว่าฤดูฝนใกล้จะถึงแล้ว 31ในทำนองเดียวกันเมื่อเจ้าเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ก็จงรู้ว่าอาณาจักรของพระเจ้าใกล้จะถึงแล้ว 32เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า คนในช่วงกาลเวลานี้จะไม่อาจล่วงลับไป จนกว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นก่อน 33สวรรค์และโลกจะดับสูญไป แต่คำของเราจะไม่มีวันสูญหายไป
34จงระวังเถิด มิฉะนั้นใจของพวกเจ้าจะหมกมุ่นอยู่กับการดื่มกินในงานฉลอง จากการเสพติดของมึนเมา และความกังวลกับชีวิตนี้ และวันนั้นก็จะมาถึงเจ้าโดยไม่คาดคิดดั่งบ่วงแร้ว 35วันนั้นจะมาเยือนทุกชีวิตบนโลก 36จงระวังอยู่เสมอ จงอธิษฐานเพื่อให้เจ้าได้หนีพ้นจากสิ่งเหล่านี้ที่กำลังจะเกิดขึ้น และเจ้าจะสามารถยืนต่อหน้าบุตรมนุษย์ได้

37ในเวลากลางวันพระเยซูสั่งสอนที่พระวิหาร และเวลากลางคืนพระองค์ออกไปอยู่บนเขาที่ชื่อภูเขามะกอก 38ผู้คนจะมาเฝ้าที่พระวิหารตั้งแต่ยามรุ่งอรุณเพื่อฟังพระองค์


*19:38 ฉบับสดุดี 118:26
*19:46a ฉบับอิสยาห์ 56:7
*19:46bฉบับเยเรมีย์ 7:11
*20:17 ฉบับสดุดี 118:22
*20:27 สะดูสี เป็นกลุ่มผู้นำศาสนาของชาวยิวที่มั่งมี สมาชิกส่วนใหญ่เป็นปุโรหิต เป็นพวกที่ไม่ยอมเชื่อสิ่งอัศจรรย์
*20:37 ฉบับอพยพ 3:6*20:43 ฉบับสดุดี 110:1
*21:6 ประมาณ 35 ปี (ค.ศ. 70 หรือ พ.ศ. 613) นับจากเวลาที่พระเยซูได้พยากรณ์สิ่งเหล่านี้แล้ว เยรูซาเล็มรวมทั้งพระวิหารก็ถูกทำลายโดยกองทัพทหารโรมัน
imgimg

คำถาม คำถาม และ คำถาม

  • เขียนคำถามทั้งหมดที่ท่านมีจากเรื่อง ใครเป็นผู้ตั้งคำถาม และคำถามเหล่านี้ถูกตั้งเพื่อใคร
  • คำถามไหนที่โดดเด่นมากที่สุดสำหรับท่าน ทำไม
  • ถ้าเป็นไปได้ ท่านอยากจะถามคำถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อผู้เขียน
  • คำถามเหล่านี้บ่งบอกถึงชีวิตของท่านอย่างไร
พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) ฉบับ 2016
สงวนลิขสิทธิ์ © 1998, 2012
โดย หน่วยงานพระคัมภีร์ฉบับแปลใหม่

© 2018 SourceView LLC.
11