ดีกว่าฑูตสวรรค์ โมเสส และโยชูวาห์

ฮีบรู 1:1-4:13

img

11ในสมัยก่อน พระเจ้าได้กล่าวกับบรรพบุรุษของเราผ่านพวกผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าหลายครั้ง และด้วยวิธีต่างๆ กัน 2แต่บัดนี้เป็นช่วงเวลาแห่งวาระสุดท้าย พระองค์ได้กล่าวกับเราผ่านทางพระบุตรของพระองค์ ผู้ซึ่งพระองค์แต่งตั้งให้เป็นผู้รับสิ่งทั้งปวงเป็นมรดก และพระเจ้าได้สร้างจักรวาลผ่านทางพระองค์ด้วย 3พระบุตรเป็นแสงสะท้อนพระบารมีของพระเจ้า และมีคุณสมบัติเหมือนพระองค์ทุกประการ สิ่งทั้งปวงยืนยงอยู่ได้ด้วยคำกล่าวที่มีอานุภาพของพระองค์ เมื่อพระองค์ได้ชำระบาปทั้งปวงแล้ว ก็ได้นั่งอยู่ ณ เบื้องขวาขององค์ผู้ยิ่งใหญ่เบื้องบน 4พระองค์ได้มาในฐานะที่เหนือยิ่งกว่าบรรดาทูตสวรรค์ เช่นเดียวกับพระนามที่ได้รับจากพระเจ้าซึ่งยิ่งใหญ่กว่านามของทูตสวรรค์
5พระเจ้าเคยกล่าวกับทูตสวรรค์องค์ใดบ้างว่า
“เจ้าเป็นบุตรของเรา
วันนี้เราประกาศว่า เราเป็นบิดาของเจ้า”*
และยังกล่าวอีกว่า
“เราจะเป็นบิดาของท่าน*
และท่านจะเป็นบุตรของเรา”*
6และเมื่อพระเจ้านำบุตรหัวปีของพระองค์มาสู่โลก พระองค์กล่าวอีกว่า
“ให้บรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้ากราบนมัสการท่าน”*
7และพระเจ้ากล่าวถึงทูตสวรรค์ว่า
“พระองค์บันดาลให้ทูตสวรรค์ของพระองค์เป็นดุจลม
และให้ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นดุจเปลวไฟ”*
8แต่มีคำกล่าวถึงพระบุตรว่า
“ข้าแต่พระเจ้า บัลลังก์ของพระองค์จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์กาล
และความชอบธรรมจะเป็นดังคทาแห่งอาณาจักรของพระองค์
9พระองค์รักความชอบธรรมและเกลียดความชั่วร้าย
ฉะนั้นพระเจ้า ผู้เป็นพระเจ้าของพระองค์ ได้ให้พระองค์อยู่เหนือมิตรสหายโดยเจิม*
พระองค์ด้วยน้ำมันแห่งความยินดี”*
10และได้กล่าวต่อไปอีกว่า
“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ในปฐมกาล พระองค์วางฐานรากของแผ่นดินโลก
และฟ้าสวรรค์เป็นผลงานจากฝีมือของพระองค์
11สิ่งเหล่านี้จะพินาศ แต่พระองค์ยังดำรงอยู่
ทุกสิ่งจะผุพังไปเหมือนกับเครื่องนุ่งห่ม
12พระองค์จะม้วนสิ่งเหล่านี้เหมือนม้วนเสื้อคลุม
และสิ่งเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนเหมือนเปลี่ยนเครื่องนุ่งห่ม
แต่พระองค์คงอยู่เช่นเดิม
และชีวิตของพระองค์จะไม่มีวันสิ้นสุด”*
13พระเจ้าได้กล่าวกับทูตสวรรค์ผู้ใดบ้างว่า
“จงนั่งทางด้านขวาของเรา
จนกว่าเราจะทำให้พวกศัตรูของเจ้า
อยู่ใต้เท้าดั่งที่วางเท้าของเจ้า”*
14แล้วทูตสวรรค์ทั้งปวงไม่ได้เป็นวิญญาณผู้รับใช้ ที่พระองค์ส่งไปช่วยเหลือพวกที่จะได้รับความรอดพ้นเป็นมรดกหรือ
21เพราะเหตุนี้ พวกเราจึงต้องสนใจสิ่งที่ได้ยินมาแล้วให้มากขึ้นกว่านี้อีก เพื่อเราจะได้ไม่ห่างเหินไป 2ในเมื่อคำที่พระเจ้าให้บรรดาทูตสวรรค์กล่าวไว้นั้น พิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริง และการกระทำผิด รวมทั้งการไม่เชื่อฟังทุกอย่างได้รับโทษที่สมควรได้รับ 3ดังนั้น หากเราเพิกเฉยกับความรอดพ้นอันยิ่งใหญ่ แล้วเราจะหนีรอดได้อย่างไร แรกเริ่มเดิมทีพระผู้เป็นเจ้าประกาศเรื่องความรอดพ้นนี้ และพวกที่ได้ยินพระองค์ ก็ได้ยืนยันกับเรา 4พระเจ้าก็ได้ยืนยันแล้วด้วย โดยให้มีปรากฏการณ์อัศจรรย์ สิ่งมหัศจรรย์ ฤทธานุภาพ และของประทานต่างๆ ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งมอบให้ตามความประสงค์ของพระองค์
5พระองค์ไม่ได้ให้บรรดาทูตสวรรค์เป็นฝ่ายปกครองโลกใหม่ที่เรากำลังพูดถึง 6แต่มีคนกล่าวยืนยันตอนหนึ่งว่า
“มนุษย์คือใคร ที่พระองค์จะเอาใจใส่
หรือบุตรมนุษย์คือใคร ที่พระองค์จะดูแลรักษา
7พระองค์ทำให้ท่าน* ด้อยกว่าเหล่าทูตสวรรค์เล็กน้อยเพียงชั่วขณะ
พระองค์ได้มอบบารมีและเกียรติให้แก่ท่าน
8พระองค์ได้ให้ทุกสิ่งอยู่ใต้เท้าของท่าน”*
ทุกสิ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของท่าน จึงไม่มีสักสิ่งที่พระเจ้าไม่ได้ให้อยู่ภายใต้การควบคุมของท่าน แต่ถึงกระนั้น พวกเราก็ไม่เห็นว่า ทุกสิ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของท่านในเวลานี้ 9แต่พวกเราเห็นพระเยซูผู้ที่พระองค์ทำให้ด้อยกว่าเหล่าทูตสวรรค์เล็กน้อยเพียงชั่วขณะ ได้รับพระบารมีและพระเกียรติเป็นมงกุฎ เพราะพระองค์สิ้นชีวิตโดยการรับทุกข์ทรมาน ทั้งนี้โดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์จึงได้ลิ้มรสความตายเพื่อมนุษย์ทุกคน
10การนำบุตรจำนวนมากไปสู่พระบารมีนั้น เป็นการเหมาะสมที่พระเจ้าผู้สร้าง และให้สิ่งทั้งหลายดำรงอยู่ ได้เป็นผู้ทำให้ผู้เบิกทางแห่งความรอดพ้นของเขาเหล่านี้เพียบพร้อมทุกประการโดยการทนทุกข์ทรมาน 11ทั้งองค์ผู้ชำระให้บริสุทธิ์ และบรรดาผู้ถูกชำระให้บริสุทธิ์มีพระบิดาองค์เดียวกัน ดังนั้นพระเยซูจึงไม่ละอายที่จะเรียกพวกเขาว่าพี่น้อง 12พระองค์กล่าวว่า
“ข้าพเจ้าจะประกาศพระนามของพระองค์แก่เหล่าพี่น้องของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ในท่ามกลางที่ประชุม”*
13และกล่าวอีกว่า
“ข้าพเจ้าจะวางใจในพระองค์”*ทั้งกล่าวอีกว่า
“ดูเถิด ตัวข้าพเจ้ากับบรรดาบุตรที่พระเจ้าได้ให้แก่ข้าพเจ้า”*
14ในเมื่อบุตรทั้งหลายมีคุณสมบัติที่เป็นเลือดเนื้อ พระองค์จึงมีส่วนร่วมในความเป็นมนุษย์ของพวกเขาด้วย เพื่อพระองค์จะได้ทำลายผู้มีอำนาจแห่งความตายคือพญามาร ด้วยการสิ้นชีวิต 15และจะได้ช่วยพวกที่ตกเป็นทาสชั่วชีวิตเนื่องจากความกลัวตายให้ได้มีอิสระ 16แน่นอนทีเดียวที่พระองค์ไม่ให้ความช่วยเหลือแก่บรรดาทูตสวรรค์ แต่ช่วยผู้สืบเชื้อสายของอับราฮัม 17ฉะนั้นพระองค์จึงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องของพระองค์ในทุกๆ เรื่อง เพื่อพระองค์จะได้เป็นหัวหน้ามหาปุโรหิตที่มีความเมตตา และรักษาคำมั่นสัญญาในการรับใช้พระเจ้า และเพื่อพระองค์จะได้ชดใช้บาปให้มวลชน 18และเมื่อพระองค์เองทนทุกข์ทรมานและถูกยั่วยุ พระองค์จึงสามารถช่วยบรรดาผู้ที่ถูกยั่วยุได้
31ฉะนั้น พี่น้องผู้บริสุทธิ์ทั้งหลายที่พระเจ้าได้เรียกจากสวรรค์ จงนึกถึงพระเยซูผู้เป็นอัครทูตและหัวหน้ามหาปุโรหิต ผู้ที่เรายอมรับด้วยปากว่าเราเชื่อในพระองค์ 2พระองค์ภักดีต่อผู้ที่แต่งตั้งพระองค์ เหมือนกับที่โมเสสมีความภักดีต่อทุกสิ่งที่เกี่ยวกับตำหนักของพระเจ้า 3พระเยซูสมควรได้รับพระเกียรติยิ่งกว่าโมเสส เช่นเดียวกับผู้สร้างตำหนัก ที่ได้รับเกียรติมากกว่าตัวตำหนักเอง 4เพราะทุกตำหนักย่อมถูกสร้างโดยผู้ใดผู้หนึ่ง แต่พระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสิ่ง 5โมเสสมีความภักดีดังเช่นผู้รับใช้ในทุกสิ่งที่เกี่ยวกับตำหนักของพระเจ้า คือยืนยันในเรื่องต่างๆ ที่พระเจ้าจะกล่าวในเวลาต่อมา 6แต่พระคริสต์เป็นพระบุตรผู้มีความภักดี พระองค์ควบคุมดูแลตำหนักของพระเจ้า และพวกเราก็คือตำหนักของพระองค์ หากว่าเรายึดความกล้าหาญและความมั่นใจในสิ่งที่เราหวังไว้
7ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์กล่าวคือ
“วันนี้ ถ้าพวกเจ้าได้ยินเสียงของพระองค์
8ก็อย่าทำใจของเจ้าให้แข็งกระด้าง
เหมือนกับที่ได้ยั่วโทสะเรา
ในครั้งที่ถูกทดสอบใจในถิ่นทุรกันดาร
9เป็นที่ซึ่งบรรพบุรุษของเจ้าได้ลองดีกับเราโดยการทดสอบเรา
ทั้งที่ได้เห็นแล้วว่าใน 40 ปี เรากระทำอะไรบ้าง
10ฉะนั้นเราจึงโกรธคนในสมัยนั้น แล้วเราจึงกล่าวว่า
‘จิตใจของเขาเหล่านั้นหลงผิดเสมอ
และเขาไม่รู้วิถีทางของเรา’
11เราจึงประกาศให้คำปฏิญาณด้วยความกริ้วว่า
‘พวกเขาจะไม่มีวันเข้าสู่ที่พำนักของเรา’”*
12พี่น้องทั้งหลายจงแน่ใจว่า จะไม่มีคนใดในพวกท่านที่มีใจชั่วร้ายและขาดความเชื่อ หันเหไปจากพระเจ้าผู้ดำรงอยู่ 13แต่ท่านจงให้กำลังใจกันโดยสม่ำเสมอตราบเท่าที่เรียกกันว่า “วันนี้” เพื่อจะได้ไม่มีคนหนึ่งคนใดในพวกท่านมีใจแข็งกระด้าง อันเนื่องมาจากการลวงหลอกของบาป 14พวกเราจะมีส่วนร่วมกับพระคริสต์ ถ้าเรายึดความมั่นใจที่เรามีแต่แรกไว้ให้คงมั่นจนถึงที่สุด 15ตามที่พระคัมภีร์ระบุว่า
“วันนี้ ถ้าพวกเจ้าได้ยินเสียงของพระองค์
ก็อย่าทำใจของเจ้าให้แข็งกระด้าง
เหมือนกับที่ได้เคยยั่วโทสะเรา”*
16ใครล่ะที่ได้ยินแล้วยั่วโทสะพระองค์ ไม่ใช่ทุกคนที่โมเสสได้นำออกจากประเทศอียิปต์หรือ 17และพระองค์โกรธใครเป็นเวลา 40 ปีล่ะ ไม่ใช่พวกที่ทำบาปแล้วได้ล้มตายลงในถิ่นทุรกันดารหรือ 18พระเจ้าประกาศให้คำปฏิญาณกับใครว่า พวกเขาจะไม่มีวันเข้าสู่ที่พำนักของพระองค์ ถ้าไม่ใช่กับคนที่ขาดการเชื่อฟัง 19เราจึงเห็นว่าเขาเหล่านั้นไม่สามารถเข้าไปได้ เพราะความไม่เชื่อของเขา
41สัญญาเพื่อการเข้าสู่ที่พำนักของพระองค์นั้นยังใช้ได้ ฉะนั้นเราจงระวังไว้ เพื่อว่าจะไม่มีใครในพวกท่านที่ไปไม่ถึง 2เพราะว่าเราได้รับคำประกาศข่าวประเสริฐเช่นเดียวกับที่พวกเขาได้รับ แต่คำประกาศที่พวกเขาได้ยินไม่เป็นประโยชน์แก่เขา เพราะพวกที่ได้ยินไม่มีความผูกพันด้วยความเชื่อ 3พวกเราที่เชื่อแล้ว ก็เข้าไปสู่ที่ซึ่งจะได้พำนักตามที่พระเจ้าได้กล่าวไว้คือ
“เราจึงประกาศให้คำปฏิญาณด้วยความกริ้วว่า
‘พวกเขาจะไม่มีวันเข้าสู่ที่พำนักของเรา’”*
แม้ว่าการงานของพระองค์จะเสร็จสิ้นแล้วตั้งแต่การสร้างโลก 4พระองค์ได้กล่าวถึงวันที่เจ็ดในข้อความหนึ่งว่า “และในวันที่เจ็ด พระเจ้าได้หยุดพักจากการงานทั้งสิ้นของพระองค์”*
5และในข้อความข้างต้นพระองค์กล่าวว่า
“พวกเขาจะไม่มีวันเข้าสู่ที่พำนักของเรา”
6ในเมื่อที่พำนักนั้นยังเปิดให้บางคนเข้าไปได้ และสมัยก่อนมีพวกที่ได้รับข่าวประเสริฐแล้ว แต่ไม่สามารถเข้าไปได้ ก็เพราะการไม่เชื่อฟังของเขา 7พระเจ้าจึงได้กำหนดไว้อีกวันหนึ่งโดยเรียกว่า “วันนี้” หลังจากเวลาผ่านไปเป็นเวลานานแล้ว พระองค์กล่าวผ่านดาวิดดังที่ว่ามาแล้วว่า
“วันนี้ ถ้าพวกเจ้าได้ยินเสียงของพระองค์
ก็อย่าทำใจของเจ้าให้แข็งกระด้าง”
8เพราะว่าถ้าโยชูวาได้ให้พวกเขาเข้าสู่ที่พำนักนั้นแล้ว พระเจ้าก็จะไม่กล่าวถึงวันอื่นอีกในภายหลัง 9ดังนั้นจึงยังมีการพำนักวันสะบาโตสำหรับคนของพระเจ้า 10ด้วยว่าคนที่ได้เข้าสู่ที่พำนักของพระองค์ ก็ได้พักจากการงานของเขาเอง เหมือนกับที่พระเจ้าได้พักจากการงานของพระองค์
11ฉะนั้น เราจงพยายามอย่างที่สุดที่จะเข้าสู่การพำนักนั้น เพื่อจะได้ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดพลั้งพลาด เพียงเพราะการทำตามตัวอย่างของการไม่เชื่อฟัง 12ด้วยว่าคำกล่าวของพระเจ้าประกอบด้วยชีวิตและพลานุภาพ และคมยิ่งกว่าดาบสองคมซึ่งแทงลึกลงไปถึงจิตและวิญญาณ ถึงข้อต่อและไขกระดูก และสามารถเผยให้รู้ถึงความคิด และความมุ่งหมายในใจด้วย 13ไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าสร้างไว้ จะหลบซ่อนไปจากสายตาของพระองค์ได้ แต่ทุกสิ่งเป็นที่เปิดเผย และประจักษ์แก่สายตาของพระองค์ คือผู้ที่เราต้องถวายรายงานด้วย

*1:5a จากฉบับสดุดี 2:7
*1:5b “ท่าน” ในข้อ 5, 6 คือบุคคลที่สาม คือ พระเยซู
*1:5c จากฉบับ 2 ซามูเอล 7:14; 1 พงศาวดาร 17:13
*1:6 จากฉบับเฉลยธรรมบัญญัติ 32:43
*1:7 จากฉบับสดุดี 104:4
*1:9a เจิม หมายถึงการเลือกไว้เพื่อให้ปฏิบัติงานอันพิเศษ
*1:9b จากฉบับสดุดี 45:6,7
*1:12 จากฉบับสดุดี 102:25-27
*1:13 จากฉบับสดุดี 110:1
*2:7 “ท่าน” ในข้อ 7-8 ผู้เขียนฉบับนี้คงจะหมายถึงพระเยซู เพราะภาษากรีกเป็นบุรุษที่สาม เอกพจน์
*2:8 จากฉบับสดุดี 8:4-6
*2:12 จากฉบับสดุดี 22:22
*2:13a จากฉบับอิสยาห์ 8:17
*2:13b จากฉบับอิสยาห์ 8:18
*3:11 ดูในฉบับสดุดี 95:7-11
*3:15 จากฉบับสดุดี 95:7, 8
*4:3 จากฉบับสดุดี 95:11
*4:4 จากฉบับปฐมกาล 2:2
*5:5 จากฉบับสดุดี 2:7
imgimg

คำถาม คำถาม และ คำถาม

  • เขียนคำถามทั้งหมดที่ท่านมีจากเรื่อง ใครเป็นผู้ตั้งคำถาม และคำถามเหล่านี้ถูกตั้งเพื่อใคร
  • คำถามไหนที่โดดเด่นมากที่สุดสำหรับท่าน ทำไม
  • ท่านมีคำถามอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้
  • ท่านสามารถทำอะไรเพื่อที่จะตอบคำถามเหล่านี้ได้
พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) ฉบับ 2016
สงวนลิขสิทธิ์ © 1998, 2012
โดย หน่วยงานพระคัมภีร์ฉบับแปลใหม่

© 2018 SourceView LLC.
11